บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ไม่อยากฟัง แล้วมาอ่านทำไม


คุณเบ็นจี้นี่ เข้าข่ายเจ็บแล้วไม่รู้จักจำ ยังจะเขามาให้ความเห็นอีก ดังนี้ (Benji2007 [IP: 203.107.236.92] 10 พฤษภาคม 2554 16:43)

เรียน...คุณดอกเตอร์ ...บัวเหล่าที่ 4 ...ปทปรมะ

ดิฉันรบกวนคุณช่วยรวบรวมบทความของคุณไปทำเป็นหนังสือหน่อยสิค่ะ เพราะคุณบอกว่า เขียนบันทึกในบล็อกนี้ไป ถ้ารวบรวมเป็นหนังสือก็หลายเล่มแล้ว

ดิฉันอยากจะรู้ว่าจะมีคนสนใจซื้อไปอ่านซักเล่มหรือไม่ ....ถ้าเก่งจริงลองเขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะซักเล่มก็ดีนะคะ . ....อยากรู้เหมือนกันจะเก่งเท่านักเขียนคนอื่นๆ เขาหรือเปล่า หรือจะเก่งแค่เขียนด่าคนอื่นทางบล็อกนี้อย่างเดียว

อ้อคุณดอกเตอร์ภาษาศาสตร์ ยังไม่เห็นตอบอีก 1 ข้อเลยค่ะ ว่าจะไปเรียนปริญญาเอกทางด้านพระพุทธศาสนาอีกใบเมื่อไหร่คะ

เพราะถ้าไม่จบศาสตร์นี้มา ก็ไม่ต้องมาสอนธรรมะแบบมั่วๆ ให้ดิฉันและคนอื่นๆฟังหรอกค่ะ .ไม่อยากรับฟัง เพราะคงไม่ใช่ผู้รู้จริง

และขอให้คุณแสดงความเขลา ไร้ปัญญา และอหังการ ออกมาเยอะๆ นะคะ ...คนอื่นเขาจะได้ทราบคะ...และต่อไปดิฉันคิดว่าคงจะไม่เข้าไปตอบและอ่านบล็อกของคุณอีกเพราะเสียเวลา ไร้สาระที่จะทะเลาะกับคนไร้สติ และไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของดิฉันค่ะ

ละฝากให้อ่านเล่นๆนะคะ ...สำหรับคุณดอกเตอร์บัวเหล่าที่ 4 ...มืดมา...มืดไป

บุคคลสี่จำพวก
สว่าง.......เบิกบานจิตพร้อม.....วิชชา
มา............พึ่งพระปัญญา.....แนบเกล้า
สว่าง........ว่างเหตุปัจจยา....ใน-นอก พิสุทธิ์
ไป............ปราศทุกข์รอนร้าว.....จบสิ้น สังสาร....
มืด............แบกทุกข์ท่วมท้น.....อาตมัน
มา............ผ่านกี่กัปกัลป์.....ล่วงแล้ว
สว่าง.......ณ ปัจจุปปัน.....สัมปชัญโญ
ไป............สู่ที่ เพริศแพร้ว.....แจ่มแจ้ง ปัญญา....
สว่าง.......จวนดีเลิศแล้ว.....มานมน
มา............จ่อมจมธราดล.....โลกหล้า
มืด...........มิอาจ ยินยล.....สำเนียง เสียงธรรม
ไป...........ใฝ่ต่ำไขว่คว้า.....แทะทึ้ง โลกีย์...
มืด............ หมกมุ่นหม่นไหม้.....อวิชชา
มา............ อุปกิเลส มา.....ปิดไว้
มืด............ จิตอัปภัสรา.....ขันธา ทุกโข
ไป............ สู่ทุกข์คติไซร้.....เร่าร้อน รานตน...

ตามนัยอรรถกถา ได้อธิบายบุคคล 4 ในปุคคลวรรค พระไตรปิฏก ปนกับอุปมาเปรียบบุคคลด้วยดอกบัว 3 เหล่าใน มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [6] โดยลงความเห็นว่าบุคคล 4 ที่พระพุทธองค์ตรัสในปุคคลวรรค เปรียบกับดอกบัว 3 เหล่า (โดยเพิ่มบัวเหล่าที่ 4 เข้าไปในบุคคล 4 ในปุคคลวรรค) ดังนี้

บุคคล ๔ จำพวก คือ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยย ปทปรมะ ก็เปรียบเหมือนดอกบัว ๔ เหล่านั้นแล. ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลาที่ท่านยกขึ้นแสดง ชื่ออุคฆฏิตัญญู. บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกความแห่งคำย่อโดยพิสดาร ชื่อว่าวิปจิตัญญู. บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับด้วยความพากเพียรท่องจำ ด้วยการไต่ถาม ด้วยทำไว้ในใจโดยแบบคาย ด้วยคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร ชื่อว่าเนยย. บุคคลที่ไม่ตรัสรู้ธรรมได้ในชาตินั้น แม้เรียนมาก ทรงไว้มาก สอนเขามาก ชื่อว่าปทปรมะ....

ในอรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร ธมฺมเทสนาธิฏฺฐานวณฺณนา

ความหมายของบัวสี่เหล่าตามนัยอรรถกถา

1.( อุคคฏิตัญญู ) พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที

2.( วิปจิตัญญู ) พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป

3.( เนยยะ ) พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง

4.( ปทปรมะ ) พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน

ลาละค่ะ ...เพราะถึงใครจะสอนยังงัย..คุณดอกเตอร์ปทปรมะ..ก็คงไม่สามารถตรัสรู้ธรรมได้ในชาตินี้ได้อย่างแน่นอน แม้จะเรียนมาก รู้มาก( มิจฉาทิฐฐิ )ก็ตามค่ะ

ผมตอบไปดังนี้ (10 พฤษภาคม 2554 17:48)

อุ๊ยตาย ว้ายกรี๊ด เหยื่อมาอีกแล้ว  หาทางลงไม่ถูกแล้ว

จะเข้ามาหาเรื่องให้เจ็บใจทำไม  ไม่มีงานทำหรือไง ... คุณ Benji2007 [IP: 203.107.236.92]

คนอ่านเขารู้กันแล้วว่า คุณไปไม่เป็นแล้ว

เข้าทีแรกคุยโอ้อวดจบปริญญาเอก วิพากษ์วิจารณ์ผมเสียๆ หายๆ  คุณน่ะโง่สุดๆ ที่ไม่อ่านให้ครบเสียก่อน  แล้วค่อยวิพากษ์วิจารณ์

โดนวิพากษ์เข้าไปบ้าง  เสียงอ่อนลง เสียงอ่อนลง จนแทบจะไม่ได้ยิน  ออกทะเลกู่ไม่กลับไปแล้ว

บอกให้รู้ไว้ซะด้วย ฉายาของผมนะ "ฉลาดเป็นกรด-เอาจริง-เล่ห์เหลี่ยมสูง-ขี้เล่น"  ความหล่อไม่ต้องพูดถึง คืนพ่อแม่ไปหมดแล้ว

จำไว้ว่า ถ้าคุณจะวิพากษ์วิจารณ์ใคร ศึกษาให้ลึกๆ เมื่อคุณมั่นใจในองค์ความรู้ของคุณแล้ว ค่อยเขียน  และเขียนอย่างมั่นใจ

ไม่ใช่ "จ่ายครบ จบแน่" ก็หาที่ป่าวประกาศ  ชั้นจบปริญญาแล้วนะ ไม่กล้าบอกชื่อ แล้วคุณจะบอกเขาทำไมว่าจบปริญญาเอก

งานฉลองปริญญาเอกคุณ คงมีหนัง มีลิเกฉลองแน่ๆ เลย  อยากอวด Ego  ไปอวดที่อื่น  ที่นี่ของจริงตัวจริง

แล้วอย่าแสดงความโง่ด้วยข้อความนี้ อ้อคุณดอกเตอร์ภาษาศาสตร์ ยังไม่เห็นตอบอีก 1 ข้อเลยค่ะ ว่าจะไปเรียนปริญญาเอกทางด้านพระพุทธศาสนาอีกใบเมื่อไหร่คะ

นี่แสดงความโง่ของคุณอย่างชัดเจน  ผมจบปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (สหวิทยาการ) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เรียนปริญญาเอกโดยทุนของ โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) รุ่นที่ 4 สถานที่เรียนที่ประเทศอังกฤษคือ University of Leeds

ผมเรียนปริญญาเอกทีเดียว 2 ประเทศ

ผมไม่ต้องไปเรียนปริญญาเอกทางด้านพระพุทธศาสนาแบบโง่ๆ ที่คุณแนะนำหรอก  ผมอยากจะรู้ทางสาขาใดในทางสังคมศาสตร์ ผมก็ศึกษาและทำวิจัยเอาก็เพียงพอแล้ว

ความคิดโง่ๆ ของคุณนั้น เอาไว้แนะนะญาติพี่น้องของคุณเถอะ

อีกซักข้อ

เพราะถ้าไม่จบศาสตร์นี้มาก็ไม่ต้องมาสอนธรรมะแบบมั่วๆ ให้ดิฉันและคนอื่นๆ ฟังหรอกค่ะ .ไม่อยากรับฟัง เพราะคงไม่ใช่ผู้รู้จริง

คุณนี่โง่ตัวแม่เลย  คุณไม่อยากรู้ แล้วคุณมาอ่านมาเขียนในบล็อกของผมทำไม..ผมถึงว่า "คุณไปไม่เป็นไง"

ถ้าผมพิมพ์หนังสือขายเมื่อไหร่  รับรองข้อความของคุณอยู่ในหนังสือของผมแน่

ตั้งแต่นั้นมา คุณเบ็นจี้ก็ไม่เคยเข้ามาให้ความเห็นอีกเลย



นิพพานแบบอนัตตา


คุณเบ็นจี้ที่เข้ามาให้ความเห็นในบทความ “ดอกเตอร์เกาะรั้วจบ” ยังตื้อไม่ยอมเลิก เข้ามาอีกครั้งดังนี้ (Benji2007 [IP: 203.107.236.92] 10 พฤษภาคม 2554 09:48)

เรียนคุณดอกเตอร์ภาษาศาสตร์

ดิฉันคงไม่อยากโต้ตอบหรือเถียงกับคุณ แต่สิ่งที่คุณแสดงไม่ว่าจะเป็นวจีกรรม มโนกรรม ทุกคนที่ได้อ่านก็คงรู้แล้วละคะว่าอะไรเป็นของจริง ดิฉันถือว่าการให้ที่ยิ่งใหญ่และประเสริฐที่สุดคือการให้อภัยค่ะ

ดังนั้นดิฉันให้อภัยคุณคะไม่อยากจะโกรธ และถือโทษคุณค่ะ เพราะเดี๋ยวทำให้ใจเป็นทุกข์เปล่าๆ ก็คงได้แต่แผ่เมตตาให้คุณพบสัจธรรมเร็วๆ จะได้มีดวงตาเห็นธรรม และมีสัมมาทิฏฐิเร็วๆ เพราะเท่าที่คุณทำมาก็ถือว่าได้สร้างบาปกรรมมามากแล้ว

ไม่สังเกตุหรือค่ะ ว่าที่คุณเขียนไปมีคนที่ชื่นชมหรือวิจารณ์ คุณมากแค่ไหน ดิฉันไม่จำเป็นต้องอวดฉลาดหรอกค่ะ

คุณศึกษาแค่ภาษาศาสตร์ จึงใช้หลักการของคุณตีความหมายของคำว่านิพพาน แต่ไม่ได้ศึกษาหลักพระพุทธศาสนาจริงๆ จึงคงยังไม่เข้าใจ แก่นแท้ของหลักพระพุทธศาสนา

ยังงัยรบกวนกลับไปศึกษาพระพุทธศาสนาเพิ่มเติม โดยทั้งภาคปฏิบัติ ปริยัติ ให้เข้าใจอย่างท่องแท้ลึกซึ้งด้วยนะคะ เพราะเดี๋ยวคนที่เขาเชี่ยวชาญและจบทางด้านนี้มาตรงๆ มาอ่านเห็นที่คุณเขียนจะพากันตกใจว่า ใครนะช่างเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาถ่ายทอดผิดๆแบบนี้

รบกวนไปเรียนให้ได้ปริญญาเอกทางด้านพระพุทธศาสนาอีกใบก่อนนะคะ จะได้เข้าใจธรรมะมากขึ้น

ส่วนดิฉันอาจจะไม่เก่งเท่าคุณแต่ก็ไม่เคยกล่าววาจาว่าร้ายคนอื่นแรงๆ แบบคุณคะ เพราะมีสติพอค่ะ และคนที่เป็นพระอรหันต์เท่าที่เคยศึกษาพระพุทธศาสนามาก็ไม่เห็นมีความจำเป็นว่าจะต้องจบถึงปริญญาเอกเลยก็สามารถบรรลุได้

เพียงแต่เขาดำเนินตามหลักมรรค 8 ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าก็คงบรรลุนิพพานแบบอนัตตาได้ค่ะ

คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าดิฉันเรียนจบที่ใดแต่ก็ไม่ใช่พวกจ่ายครบจบแน่อย่างแน่นอนค่ะ และความรู้ในโลกนี้ต่อให้คุณศึกษาความรู้ทางโลกตั้งมากมาย แต่ภายในจิตใจของคุณเอง คุณไม่เคยเข้าใจตัวเองหรือเรียนรู้ศึกษาจิตใจของคุณเลย ก็อยากที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ค่ะ

เรียนแทบตายก็ไร้ปัญญาที่จะไปเอาชนะกิเลศได้ค่ะ ดิฉันจบปริญญาเอกเหมือนกัน แต่คุณภาพเท่าคุณหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบคะ เพราะยังไม่เคยวัดคะ และไม่สนใจที่จะแข่งขันด้วยค่ะ

เพราะไม่มีสาระแก่นสารในชีวิต ถ้าจะแข่งกันน่าจะแข่งกันที่การทำความดี ละเว้นความชั่ว ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ดีกว่าค่ะ เพราะจะเป็นประโยชน์มากกว่า

" บุคคลควรเห็นผู้มีปัญญา ที่คอยกล่าวคำขนาบ ชี้โทษของเราให้เห็น ว่าเป็นดุจผู้ชี้บอกขุมทรัพย์ให้ ควรคบกับบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อคบแล้ว ย่อมมีแต่ดีฝ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย

จาก..ดิฉัน..ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานค่ะ

เหยื่อพลาดพลั้งเสียแล้ว ออกตัวเสียแล้ว ผมก็ตอบไปดังนี้ (10 พฤษภาคม 2554 14:31)

อ้าว ..Benji2007.. ไปไม่เป็นเสียแล้ว

อยากจะหัวเราะให้ฟันโยกไปทั้งปาก  มีความสุขจริงๆ วันนี้..

1) คุณไม่ต้องมาให้อภัยผมเลย  ผมไม่เคยขอโทษคุณ  ผมเยาะเย้ยในความโง่ของคุณอีกต่างหาก ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ

คนที่จบปริญญาเอกที่มีคุณภาพนั้น  เขาจะเขียนอะไรออกมาสู่สาธารณะนั้น คิดแล้ว คิดอีก  คุณมันมั่วจนไม่รู้จะมั่วอย่างไรแล้ว

หาว่า ผมสอนจนทำให้คนของประเทศมีกิเลส ตัณหา ราคะ ฯลฯ ยกตัวอย่างที่คุณเขียนใหม่ก็ได้

ที่คุณกล่าวมาดิฉันเห็นว่าเพราะคุณสอนลูกศิษย์แบบนี้ประเทศชาติ และโลกนี้จึงเต็มไปด้วยมนุษย์ที่มีแต่ กิเลส ตัณหา ราคะ มีแต่มนุษย์ที่มีอวิชชา ไม่รู้ความดี ความชั่ว ถูก-ผิด ไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด กันอยู่นี้งัยคะ

ผมสอนให้เด็กปฏิบัติธรรมก็คือ สอนให้เด็กนั่งสมาธิ  การนั่งสมาธิของพุทธเถรวาท มีหนังสือเล่มนั้นบ้าง ที่บอกว่า ผลออกมาจะทำให้มี "กิเลส ตัณหา ราคะ"

จบมาจากที่ไหนหนอนี่.....

มั่วสุดๆ มั่วยิ่งกว่าไชยบูลย์อีก  ไชยบูลย์เพียงแค่เอาสวรรค์มาล่อเท่านั้น  มั่วแบบไม่เคยพบเคยเห็นเลย

2) ตรงนี้ก็แสดงความโง่ออกมาอีกแล้ว

เพราะเท่าที่คุณทำมาก็ถือว่าได้สร้างบาปกรรมมามากแล้ว ไม่สังเกตุหรือค่ะ ว่าที่คุณเขียนไปมีคนที่ชื่นชมหรือวิจารณ์ คุณมากแค่ไหน [สังเกตไม่ต้องมีสระอุ]

ตรงนี้โง่อย่างไร  คุณจะมาวัดการสร้างบาปกรรมตรงที่ มีคนชื่นชมหรือวิพากษ์วิจารณ์หรือ โอ๊ย....โอย...อุ๊ยตาย.. ว้ายกรี๊ด......... นี่หรือจบปริญญาเอก

อาจารย์เขาไม่เคยสอนหรือไง  ของอย่างนี้มันต้องว่ากันตามหลักวิชาการ ตามหลักเหตุผล  ไม่ใช่ประกวด AF นะคุณ

แล้วผมยังสงสัยว่า คุณไปอ่านหนังสือเล่มไหนมา ที่ว่า การที่ผมไปสอนปฏิบัติธรรมนักเรียน เป็นการสร้างเวรกรรม

3) วิพากษ์ต่อไป

ดิฉันไม่จำเป็นต้องอวดฉลาดหรอกค่ะ คุณศึกษาแค่ภาษาศาสตร์ จึงใช้หลักการของคุณตีความหมายของคำว่านิพพาน แต่ไม่ได้ศึกษาหลักพระพุทธศาสนาจริงๆ จึงคงยังไม่เข้าใจ แก่นแท้ของหลักพระพุทธศาสนา ยังงัยรบกวนกลับไปศึกษาพระพุทธศาสนาเพิ่มเติม โดยทั้งภาคปฏิบัติ ปริยัติ ให้เข้าใจอย่างท่องแท้ลึกซึ้งด้วยนะคะ

อย่างคุณนี่ เขาไม่เรียกอวดฉลาดหรอก เขาเรียกว่า "อวดความโง่"  ผมเขียนบันทึกในบล็อกนี้ไป ถ้ารวบรวมเป็นหนังสือก็หลายเล่มแล้ว

คุณอ่านครบหรือยัง... คุณไม่อ่านแล้วคุณจะมามั่วนิ่มอย่างโน้นอย่างนี้ คนอ่านบล็อกนี้ เขาไม่ได้โง่เหมือนคุณนะ

4) วิพากษ์ต่อไป

ส่วนดิฉันอาจจะไม่เก่งเท่าคุณแต่ก็ไม่เคยกล่าววาจาว่าร้ายคนอื่นแรงๆ แบบคุณคะ เพราะมีสติพอค่ะ และคนที่เป็นพระอรหันต์เท่าที่เคยศึกษาพระพุทธศาสนามาก็ไม่เห็นมีความจำเป็นว่าจะต้องจบถึงปริญญาเอกเลยก็สามารถบรรลุได้ เพียงแต่เขาดำเนินตามหลักมรรค 8 ( ศีล สมาธิ ปัญญา )

ตรงนี้คุณจะมั่วไปถึงไหน  คุณน่ะไม่เก่งเท่าผมแน่ๆ เก่งจริงคุณก็ไปเขียนบล็อกของคุณเอง ไม่ต้องให้ผมเสียดสีอยู่อย่างนี้หรอก  อันนี้ชัดเจน

แต่คุณยกตัวอย่างอะไรของคุณที่ว่า พระอรหันต์ไม่ต้องจบปริญญาเอก มั่วสิ้นดี  ยกตัวอย่างแบบนี้ไม่ได้

เราไม่รู้ว่า การศึกษาในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาอยู่นั้น สามารถเปรียบเทียบกับการศึกษาสมัยนี้ได้หรือไม่

พระอรหันต์หลายรูป ก็จบการศึกษาสูงสุดที่มีอยู่ในช่วงนั้น  ถ้านับกันจริงๆ อาจจะเป็นปริญญาเอกสมัยนี้ก็ได้

แต่อย่างไรก็ดี ตัวอย่างแบบนี้ ไม่ควรยกมาอธิบาย เพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่ได้เข้ากับเนื้อหาที่กำลังถกเถียงกันอยู่เลย

4) วิพากษ์ต่อไป

ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าก็คงบรรลุนิพพานแบบอนัตตาได้ค่ะ

ผมก็ท้าไปแล้ว ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน  คุณลองอธิบายซิว่า นิพพานเป็นนิจจัง-สุขัง-อนัตตาอย่างไร มั่วกันสิ้นดี

ศัพท์ของนิจจัง-สุขัง-อัตตากับอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา เป็นการบรรยายลักษณะที่ตรงข้ามกัน  ยกตัวอย่างก็ได้

นิจจัง-สุขัง-อัตตา ก็เปรียบเสมือนกับ "สีขาว" ส่วน อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา ก็เปรียบเสมือนกับ "สีดำ"

นิพพานจะมีสีขาวและสีดำปนกันได้อย่างไร   มั่วสุดๆ

5) วิพากษ์ต่อไป

คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าดิฉันเรียนจบที่ใดแต่ก็ไม่ใช่พวกจ่ายครบจบแน่อย่างแน่นอนค่ะ

ผมเคยถามคุณหรือ "ว่าคุณจบที่ไหนมา"  หลงตัวเองนะนี่ ตัวเอง... ผมไม่ได้สนใจอะไรคุณเลย คุณ Benji2007  ผมเห็นคุณเป็นเหยื่อให้เขียนอะไรเล่นเท่านั้น

6) วิพากษ์ต่อไป

ดิฉันจบปริญญาเอกเหมือนกัน แต่คุณภาพเท่าคุณหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบคะ

บอกอีกแล้ว...ตัวเอง  ทำไมต้องบอกหลายครั้งจัง  บอกครั้งเดียวก็จำได้แล้ว  ปริญญาเอกคุณภาพต่ำๆ แบบนี้ ไม่ค่อยมีหรอก

เป็นพันธุ์ที่หายาก พบเห็นครั้งหนึ่งก็จะไม่ลืมเลือน

7) สุดท้าย

จาก..ดิฉัน..ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานค่ะ

ระวังไปตื่นในอบายภูมินะคุณ  พวกที่เห็นว่า นิพพานเป็นนิจจัง-สุขัง-อนัตตานี่ ไม่สมควรไปสุขคติภูมิ..




ดอกเตอร์เกาะรั้วจบ


ต่อไปถึงคิวของคุณ Benji2007 [IP: 203.107.236.92] 07 พฤษภาคม 2554 12:45  คุณเบนจี้นี่เขียนมายาวมาก ดังนี้

เรียนท่านดอกเตอร์

ที่ท่านกล่าวว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำไม่เคยสอนว่า นิพพานเป็นอัตตาแต่สอนทุกครั้งว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตาซึ่งความหมายก็คือ นิพพานมีสภาพที่เที่ยง เป็นสุข และคงที่ซึ่งถูกต้องตามพระไตรปิฎกเถรวาทแล้ว โดยเนื้อของวิชชาธรรมกายนั้น สามารถสอนให้นักเรียน/นักศึกษา เห็นดวงธรรม เห็นกายธรรมในตนเองอย่างแจ่มชัดได้เป็นแสนๆ คนไปแล้ว ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดี

ที่คุณกล่าวมาดิฉันเห็นว่าเพราะคุณสอนลูกศิษย์แบบนี้ประเทศชาติ และโลกนี้จึงเต็มไปด้วยมนุษย์ที่มีแต่ กิเลส ตัณหา ราคะ มีแต่มนุษย์ที่มีอวิชชา ไม่รู้ความดี ความชั่ว ถูก-ผิด ไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด กันอยู่นี้งัยคะ อยากรู้จักคุณยังนับถือศาสนาพุทธและนับถือพระพุทธเจ้าอยู่หรือไม่ กรุณาอย่าสอนแบบมิจฉาทิฏฐิทำให้ผู้อื่นหลงผิด สงสารอนาคตของประเทศชาติค่ะ และดิฉันขอยืนยันอย่างชัดเจนค่ะว่า นิพพานในทัศนะของพระพุทธเจ้าเป็นอนัตตา

นิพพาน หมายถึง สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว ภาวะที่เป็นสุขสูงสุด เพราะไร้ทุกข์ เป็นอิสรภาพสมบูรณ์

"นิพพาน" จากบาลี Nibbāna निब्बान ประกอบด้วยศัพท์ นิ(ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) รวมเข้าด้วยกันแปลว่า ไม่มีการพัดไป ไม่มีสิ่งร้อยรัด คำว่า "วานะ" เป็นชื่อเรียกกิเลสตัณหา กล่าวโดยสรุป นิพพานคือการไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ อันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา พระอนุรุทธาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์อภิธรรมมัตถสังคหะ ได้พรรณนาคุณของนิพพานว่า ปทมจฺจุตฺ มจฺจนฺตํ อสงฺขตมนุตฺตรํ นิพฺพานมีติ ภาสนฺติ วานมุตฺตามเหสโย "พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้พ้นแล้วจากตัณหาเครื่องร้อยรัด ทรงตรัสถึงสภาวะธรรมชาติหนึ่งที่เข้าถึงได้ เป็นธรรมชาติที่ไม่จุติ พ้นจากขันธ์ 5 ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยใด ๆ เลย หาสภาวะอื่นเปรียบเทียบไม่ได้ ว่าสภาวธรรมนั้นคือพระนิพพาน"

คัมภีร์พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะกล่าวถึงนิพพาน 2 ประเภท คือ

* สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุยังมีอุปาทิเหลือ ยังเกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ

* อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ไม่มีอุปาทิเหลือ หรือนิพพานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่อีก

สภาวะของนิพพานจากหลักฐานในพระไตรปิฎก

คำว่า "นิพพาน" เป็นคำที่ใช้กันในปรัชญาหลายระบบในอินเดีย โดยใช้ในความหมายของความหลุดพ้น แต่การอธิบายเกี่ยวกับสภาวะของนิพพานนั้นแตกต่างกันออกไป ในปรัชญาอุปนิษัทเชื่อว่า นิพพานหรือโมกษะ คือการที่อาตมันย่อยหรือชีวาตมันเข้ารวมเป็นเอกภาพกับพรหมัน แต่ในพระพุทธศาสนาอธิบายว่า นิพพานคือการหลุดพ้นจากอวิชชา ตัณหา ซึ่งแสดงออกในรูปของโลภะ โทสะ และโมหะ มิได้หมายความว่าเป็นการหลุดพ้นของอัตตาหรือตัวตนในโลกนี้ ไปสู่สภาวะของนิพพานเช่นเดียวกับคำสอนอุปนิษัท แต่หมายถึงความดับสนิทแห่งความเร่าร้อนและเครื่องผูกพันร้อยรัดทั้งปวง ซึ่งเรียกว่าเป็นความทุกข์

คัมภีร์พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะของฝ่ายเถรวาท ระบุไว้ชัดเจนว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" เช่น ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก ปริวารระบุว่า อนิจฺจา สพฺพสงฺขารา ทุกฺขานตฺตา จ สงฺขตา นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา "สังขารทั้งปวงอันปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติเป็นอนัตตา วินิจฉัยมีดังนี้" (วิ.ป.บาลี 8/257/194)

ในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรคระบุว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" และในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาตมีระบุว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" ซึ่ง "ธรรม" ในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายต่อว่า "หมายรวมถึงนิพพานด้วย" นอกจากนี้ ยังมีข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกอีกหลายแห่งทั้งที่ระบุโดยตรงและโดยอ้อมที่มีนัยบอกว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" คำว่า "อนัตตา" มีความหมายระดับปรมัตถ์ มีนัยที่ต้องไขความต่ออีก โดยเฉพาะในคัมภีร์ชั้นหลังจะบอกว่า "ที่ชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะเกิดขึ้นจากองค์ประกอบต่าง ๆ มาประชุมกัน ไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นเป็นแกนอยู่ ไม่มีตัวตนที่คงที่ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีอำนาจในตัวเอง บังคับให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ แย้งต่ออัตตา"

ในคัมภีร์มิลินทปัญหา พระนาคเสนทูลแก้ปัญหาของพระยามิลินท์ที่ทรงถามว่า ถ้านิพพานไม่มีที่ตั้งอาศัย นิพพานก็ย่อมไม่มี โดยกราบทูลว่า"ขอถวายพระพรมหาบพิตร โอกาสอันเป็นที่ตั้งของนิพพานหามีไม่ แต่นิพพานนั้นมีอยู่ พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติชอบ ย่อมทำให้แจ้งนิพพาน ด้วยการพิจารณาโดยอุบายอันแยบคาย มหาบพิตร เหมือนดั่งว่าชื่อว่าไฟย่อมมีอยู่ แต่โอกาสอันเป็นที่ตั้งของไฟนั้นหามีไม่ เมื่อบุคคลเอาไม้สองอันมาขัดสีกันก็ย่อมได้ไฟขึ้นมาฉันใด มหาบพิตร นิพพานก็มีอยู่ฉันนั้นนั่นแล โอกาสอันเป็นที่ตั้งของนิพพานนั้นไม่มี (แต่)พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติชอบ ย่อมทำนิพพานให้แจ้งด้วยการพิจารณาโดยอุบายอันแยบคาย..."(มิลินฺท.336)

ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา ยังมีข้อความแสดงสภาวะของนิพพานอีกหลายแห่ง เช่นในปฏิสัมภิทามรรค มีอธิบายว่า นิพฺพานธมฺโม อตฺตสฺเสว อภาวโต อตฺตสุญฺโญ "ธรรมคือนิพพาน ว่างจากอัตตา เพราะไม่มีอัตตา" (ขุ.ป.อ.2/287) นอกจากนี้ในวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆสะพยายามอธิบายให้เห็นถึงความไม่มีตัวตนของผู้ได้ชื่อว่าบรรลุนิพพาน ซึ่งเท่ากับว่าไม่มีอัตตา และนิพพานก็มิใช่สิ่งที่จะต้องมีอัตตาถึงจะมีอยู่ได้ ดังที่พระพุทธโฆสะกล่าวว่า "นิพพานมีอยู่ แต่ไม่มีผู้เข้าถึงนิพพาน มรรคามีอยู่ แต่ปราศจากผู้ดำเนินไป" (วิสุทฺธิ.3/101) ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีตัวตนบุคคลใด ๆ ที่ปฏิบัติตามมรรค 8 แล้วบรรลุนิพพาน เมื่อปราศจาก "ตัวตน" ของผู้เข้าถึงนิพพาน นิพพานก็ย่อมไม่ใช่อัตตาไปด้วย

ความมีอยู่ของพระนิพพาน มิใช่สภาวะที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของจิต แต่มีอยู่โดยตัวของตัวเอง คือเป็นความจริงขั้นปรมัตถสัจ ที่ตรงข้ามกับสมมติสัจในโลกแห่งปรากฏการณ์ มีสภาวะที่เที่ยง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดดับสลับกันไปแบบสิ่งต่างๆ ในโลก นิพพานจึงเป็นอสังขตธรรมที่พ้นไปจากปัจจัยปรุงแต่ง ในสภาวะของนิพพานทั้งนาม(จิต) และรูป ย่อมดับไม่เหลือ ดังพุทธวจนะในเกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ได้กล่าวถึงนิพพานว่าเป็น "ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาติ ดังนี้ฯ" (ที.สี.14/350) เพราะฉะนั้น นิพพานจึงไม่ใช่จิต หรือสัมปชัญญะบริสุทธิ์ ซึ่งนั่นเป็นลักษณะของพรหมมันหรืออาตมันของปรัชญาฮินดู ทั้งยังไม่ใช่เจตสิกที่อาศัยจิตเกิดขึ้น เพราะทั้งจิตและเจตสิกนั้นล้วนเป็นสังขตธรรม ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง มีธรรมชาติเกิดดับ มีการเปลี่ยนแปร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ แต่นิพพานอยู่เหนือสภาพเช่นนี้ และว่างเปล่าจากสิ่งเหล่านี้ ขณะเดียวกัน นิพพานก็ไม่ใช่ความดับสูญอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นลักษณะของอุจเฉททิฏฐิการใช้ภาษาอธิบายนิพพานเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่าเป็นอัตตาเที่ยงแท้ (สัสสตทิฏฐิ)หรือว่าเป็นความขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) ซึ่งเป็นทัศนะที่คลาดเคลื่อนจากพระบาลีทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงอธิบายว่า พระอรหันต์ผู้บรรลุนิพพานเมื่อดับขันธ์แล้วจะอยู่ในสภาพเช่นใด การอธิบายทำได้ในลักษณะเพียงว่า นิพพานคือการดับทุกข์ สิ้นตัณหา เหมือนไฟที่ดับจนสิ้นเชื้อไม่สามารถที่จะลุกลามขึ้นมาได้อีก สำหรับพระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้วนั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงตรัสยืนยันถึงความมีอยู่หรือความดับสูญ พระองค์ตรัสแต่เพียงว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ทั้งเทวดาและมนุษย์จะไม่สามารถเห็นพระองค์อีกต่อไป "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต" (ที.สี.14/90) ในคำสอนพระพุทธศาสนา ไม่มีอัตตาใดเข้าสู่นิพพาน และไม่มีอัตตาดับสูญในภาวะแห่งนิพพาน แม้ในโลกแห่งปรากฏการณ์ เบื้องหลังเบญจขันธ์อันไม่เที่ยงนั้น ก็มิได้มีอัตตาซึ่งเป็นผู้รับรู้หรือเป็นพื้นฐานแห่งตัวตนที่เที่ยงแท้อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอยู่ในรูปของกระบวนการที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทั้งรูปธรรมแนะนามธรรม กระบวนการแห่งนามรูปที่สมมติว่าเป็น ตัวตน สัตว์ บุคคล เราเขา นี้ เมื่อวิวัฒนาการไปจนกระทั่งถึงที่สุด ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปก็เป็นอันยุติลง สภาพความสิ้นสุดกระบวนการแห่งนามรูปที่ไม่เที่ยงแปรปรวนอยู่ทุกขณะนี้ เรียกว่านิพพาน เมื่อรูปและนามดับ นิพพานจึงไม่ใช่ทั้งจิตและสสารซึ่งต้องอาศัยเหตุปัจจัยในการดำรงอยู่ พระนิพพานตั้งอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย จึงเรียกว่า อสังขตธรรมในพระไตรปิฎกมักเปรียบนิพพานว่าเหมือนกับไฟที่ดับแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าไฟที่ดับไปนั้นหายไปไหนหรืออยู่ในสภาพใด

นิพพานเป็นธรรมที่พ้นไปจากโลก การอธิบายนิพพานโดยอาศัยพื้นฐานในทางโลกตลอดจนภาษาทางตรรกวิทยาจึงไม่อาจกระทำได้ การจำกัดความจึงมักใช้การปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ไม่ใช่ทั้งสิ่งนั้นและสิ่งนี้ ไม่มีการอุบัติ ไม่มีการจุติ ไม่มีองค์ประกอบ ไม่มีการสร้างสรรค์ ไม่มีการแตกทำลาย ไม่ใช่ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น ดังปรากฏในพาหิยสูตร ความว่า "ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ 4) รู้แล้วด้วยตนเอง เมื่อนั้นพราหมณ์ย่อมหลุดพ้นแล้วจากรูปและอรูป จากความสุขและความทุกข์..." (ขุ.ขุ.อ.25/50)

เมื่อนิพพานพ้นไปจากบัญญัติในทางโลก การอธิบายถึงนิพพานจึงเป็นเพียงการเปรียบเทียบ เช่น เปรียบเทียบกับความว่างเปล่า หรือไฟที่ดับไป เป็นต้น ในวิสุทธิมรรคกล่าวว่า "เพราะพระนิพพานเป็นคำสุขุมนัก...เป็นธรรมที่ต้องเห็นด้วยอริยจักษุ เป็นธรรมอันบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยมรรค (เท่านั้น) จะพึงถึงได้" นิพพานจึงมิใช่เรื่องของการเข้าใจ แต่อยู่ที่การเข้าถึง อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมของตนเอง

......จากคนที่จบดอกเตอร์เหมือนกัน.....แต่ไม่มีตัวกู... ของกู ( อัตตา )ค่ะ..


ผมได้ตอบไปเบื้องต้น ดังนี้ (07 พฤษภาคม 2554 13:14)  

เรียน คุณ Benji2007 [IP: 203.107.236.92]

เอาประเด็นหลักๆ เลย เขียนเข้ามาใหม่ อย่ามั่วแบบนี้  ถ้าจะเล่นกันอย่างวิชาการ ก็เขียนแบบวิชาการมาเลย ทีละประเด็นๆ เลย

ผมบอกตรงๆ ผมเองเป็นผู้เขียนบล็อกนี้ ผมก็ต้องเปิดเผยตัวเอง เพราะเป็นกฎของ gotoknow

คุณเข้ามาแบบไม่เปิดเผยชื่อ ทำไมต้องบอกว่าจบปริญญาเอกด้วย ถ้าคุณเขียนด้วยความรู้ลึกๆ ผมก็จะรู้เองว่า คุณควรจบระดับไหน

ใครมันมี ตัวของ ของกู มากกว่ากัน ชักงงๆ เหมือนกัน

เหอะน่า อยากจะเจอมานานแล้ว พวกจบปริญญาเอกด้วยกันนนี่ ผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่า จบปริญญาเอกเหมือนกัน แต่คุณภาพไม่เท่ากันหรอก...

555555555.......

ในตอนนี้ ผมแปลกๆ ใจ คือ ถ้าคุณไม่ได้บอกชื่อจริง นามสกุลจริง คุณจะบอกว่า จบปริญญาเอกทำไม  แล้วประกาศตัวเสียด้วยว่า “.จากคนที่จบดอกเตอร์เหมือนกัน.....แต่ไม่มีตัวกู... ของกู (อัตตา)ค่ะ.”  จากประสบการณ์ของผม พวกนี้กิเลสหนาเพียบ หลงตัวเองอย่างหนัก

ผมรอไปนาน หลับไปจริงๆ ตื่นหนึ่ง จึงเข้ามาตอบอีกทีว่า (07 พฤษภาคม 2554 16:12)

นอนหลับไปตื่นหนึ่ง ยังไม่มีคำตอบเข้ามา ก็เลยลองมาตอบเพื่อให้เป็นแนวทางสักนิดหนึ่ง

คุณอ้างขอเขียนของผมที่สอนเด็กไปเป็นแสนแล้ว แล้วคุณก็ให้ความเห็นมาดังนี้

ที่คุณกล่าวมา ดิฉันเห็นว่าเพราะคุณสอนลูกศิษย์แบบนี้ประเทศชาติ และโลกนี้จึงเต็มไปด้วยมนุษย์ที่มีแต่ กิเลส ตัณหา ราคะ มีแต่มนุษย์ที่มีอวิชชา ไม่รู้ความดี ความชั่ว ถูก-ผิด ไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด กันอยู่นี้งัยคะ

โอ้โฮ อ่านแล้วตกใจ คุณไปเรียนจบที่ไหนมากันหนอนี่....สมาธินั้น ไม่มีที่เสียเลย..คุณจะให้เด็กนั่งแบบพุทโธ ยุบหนอพองหนอ แบบเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียน แบบนั่งเงียบ (Silence) ไม่มีที่เสียเลย

เด็กที่นั่งสมาธิรับรองไม่ทำความชั่วจนกระทั่งไม่รู้ความดี ความชั่ว ถูก-ผิด ฯลฯ อย่างที่คุณว่ามาหรอก

งง...จริง จบปริญญาเอกหรือนี่........

อยากรู้จักคุณยังนับถือศาสนาพุทธและนับถือพระพุทธเจ้าอยู่หรือไม่ กรุณาอย่าสอนแบบมิจฉาทิฐิทำให้ผู้อื่นหลงผิด สงสารอนาคตของประเทศชาติค่ะ และดิฉันขอยืนยันอย่างชัดเจนค่ะว่า นิพพานในทัศนะของพระพุทธเจ้าเป็นอนัตตา

ต๊าย..ตาย อกอีแป้นจะแตก การสอนว่านิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตานี่เป็นมิจฉาทิฐิ ตายแล้ว ตายแน่ๆ จบแบบเสาร์-อาทิตย์ แล้วก็ไปเอาคางเกยกำแพงมหาวิทยาลัยไม่ต้องเข้าไปเรียนก็จบแน่ๆ

พวกจ่ายครบ จบแน่ ตัวจริงของจริง

ผมขอบอกก่อนเลยว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" นั้น หลักฐานอ่อนในทางวิชาการมาก นะจ๊ะ ตัวเอง มีหลักฐานอะไรก็ว่ามาเลย ...

ผมในฐานะ "นักภาษาศาสตร์" ขอยืนยัน นอนยัน ตะแคงยันเลยว่า หลักฐานที่ว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" นั้น มั่วทั้งสิ้น ....

คุณ.... ถ้าที่ผ่านมา สามีไม่ทำการบ้าน หรือทำการบ้านไม่สม่ำเสมอเกิดอาการวูบวาบเขียนไปโดยไม่มีสติยั้งคิดก็เงียบๆ ไปซะ ผมจะไม่ถือสาอะไร

แต่ถ้าคิดว่า ที่เขียนไปนั้น มีหลักฐานยืนยันชัดเจน อย่างที่ยอมรับกันได้ในทางวิชาการ ก็เข้ามาใหม่

ผมมาอ่านใหม่นี่ ผมก็ขำตัวเองเหมือนกัน เขียนไปได้ยังไง คือ นึกมุกออกมาได้ยังไงที่ว่า

“คุณ.... ถ้าที่ผ่านมา สามีไม่ทำการบ้าน หรือทำการบ้านไม่สม่ำเสมอเกิดอาการวูบวาบเขียนไปโดยไม่มีสติยั้งคิดก็เงียบๆ ไปซะ ผมจะไม่ถือสาอะไร”

แกหาสามีได้หรือเปล่าก็ไม่รู้