ธรรมชาติของการเรียนรู้ประการหนึ่งที่นักวิชาการปัจจุบันเข้าใจกันดีก็คือ
นักวิชาการในยุคใดยุคหนึ่งส่วนใหญ่ จะถูกบริบททางสังคมในช่วงขณะนั้นครอบงำอยู่เสมอๆ
การที่นักวิชาการคนใดคนหนึ่งจะ
“แหวก” วงล้อมที่ครอบงำอยู่ในยุคนั้นได้
และสามารถทำให้คนส่วนใหญ่หันมาเชื่อตาม
ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาที่นานมากพอควร
ในภาษาทางวิชาการเรียกสภาพการณ์นี้ว่า การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (paradigm shift)
ตัวอย่าง
ในยุโรปสมัยหนึ่งเชื่อว่า
โลกแบน เมื่อนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า โลกกลมและพยายามจะเผยแพร่ความรู้นั้นออกไป
ก็ถูกผู้นำทางศาสนาคริสต์ในยุคนั้น ฆ่าตายไปหลายคน
กว่าคนส่วนใหญ่ในโลกจะเห็นมาเชื่อว่าโลกกลมก็ต้องใช้เวลานาน
หรือในกรณีที่ไอสไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ
(relative
theory) กว่าที่จะมีคนยอมรับว่าทฤษฎีของเขาถูกต้องก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีทีเดียว
พุทธวิชาการ/นักปริยัติปัจจุบันนี้
ส่วนใหญ่ตกอยู่ในภายอิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนของนิ วตัน
กาลิเลโอและเดส์คาร์ต
เมื่อไอสไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ
(relative
theory) แล้ว นักวิชาการได้กำหนดนับเป็นยุคของฟิสิกส์ใหม่ ซึ่งองค์ความรู้
(body of knowledge) ของฟิสิกส์ใหม่นั้นแตกต่างไปจากองค์ความรู้
(body of knowledge) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนแบบหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว
วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนนั้น
จะเชื่อว่าอะไรมีจริงหรือเป็นความจริงก็ต้องสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เท่านั้น
คือ หู ตา จมูก ลิ้น และกาย
นักวิทยาศาสตร์ของวิทยาศาสตร์แบบเก่าจึงไม่เชื่อเรื่อง
นรก-สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด อิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ฯลฯ
พวกนี้จะถือว่าสิ่งเหล่านี้ในพระไตรปิฎกเป็นมายาคติ
(myth) หรือความไม่จริงทั้งสิ้น ซึ่งถ้าอ่านหนังสือ/บทความของกลุ่มพุทธวิชาการ/นักปริยัติจะเห็นร่องรอย
อิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนอย่างเห็นได้ชัดเจน
พุทธวิชาการ/นักปริยัติเหล่านี้
อาจจะแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก
ประกาศตัวออกมาว่า นำเอาวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนมาศึกษาศาสนาพุทธอย่างเปิดเผย
ด้วยคิดว่า
วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเป็นความจริงที่สุดแล้ว
เป็นความจริงยิ่งกว่าศาสนาพุทธ
ตัวอย่างของพุทธวิชาการ/นักปริยัติกลุ่มนี้ก็เช่น
ท่านพุทธทาสภิกขุ หรือคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นต้น
อีกกลุ่มหนึ่ง ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเช่นเดียวกัน
แต่ไม่ยอมเปิดเผยว่า ตนเองถูกครอบงำ
แต่มักจะวิพากษ์วิจารณ์ว่า
วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไม่จริง ไม่ดีเท่าศาสนาพุทธ
แต่ถ้าศึกษาหนังสือ/บทความอย่างจริงจังและจะพบร่องรอยอิทธิพลของวิทยาศาสตร์
เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนครอบงำอยู่อย่างชัดเจน
ข้อเขียนของบุคคลกลุ่มนี้จะมีว่า
นรก-สวรรค์ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ชอบอธิบายหลักธรรมของศาสนาพุทธที่สำคัญ เช่น
ปฏิจจสมุปบาท เรื่องของกรรมเป็นต้น ในลักษณะที่เป็นชาติเดียว
เพราะลึกๆ
แล้ว พุทธวิชาการ/นักปริยัติเหล่านี้ เชื่อว่า
ตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียวเท่านั้นตามความเชื่อของวิทยาศาสตร์เก่าแบบ
กลไก/แยกส่วน/ลดทอน
เมื่อเชื่อว่า
มนุษย์ทุกคนตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียว ดังนั้น สวรรค์ พรหม อรูปพรหม
รวมถึงนิพพานก็ต้องไม่มี
การที่จะเสนอความคิดความเชื่อของตนเองที่ตกอยู่ในอิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่า
แบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนว่าสวรรค์ พรหม อรูปพรหม รวมถึงนิพพานไม่มีจริงๆ นั้น ไม่ต้องไปโจมตีทั้งหมด แค่โจมตีว่า นิพพานไม่มี
ก็สำเร็จแล้ว
การที่จะโน้มน้าว
(persuade)
ให้ผู้คนหลงเชื่อตาม พุทธวิชาการ/นักปริยัติเหล่านี้ จึงชูประเด็นขึ้นมาว่า
“นิพพานเป็นอนัตตา”
เมื่อชูประเด็นดังกล่าวขึ้นมาแล้ว
แต่เมื่อมีพุทธเถรวาทเป็นจำนวนมาก กล่าวคือ
พุทธปฏิบัติธรรมทุกสายไม่ว่าจะเป็นสายนะมะพะทะ สายพุทโธ สายยุบหนอพองหนอ
และสายวิชชาธรรมกายต่างก็มีความเชื่อว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตาทั้งนั้น
ถ้าไม่มีความเชื่อดังกล่าวแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างบารมีกันไปทำไม
ทำไม จะต้องโจมตีหลวงพ่อวัดปากน้ำและวิชชาธรรมกายด้วย?
ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า
ในปัจจุบันนี้สายปฏิบัติธรรมนั้น สายวิชาธรรมกายมาแรงสุดๆ ในขณะที่หลวงพ่อวัดปากน้ำมีชีวิตอยู่นั้น
ก็สามารถเผยแพร่วิชาธรรมกายได้อย่างกว้างขวางแล้ว
แต่เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำมรณภาพไปแล้ว วิชาธรรมกายกลับไม่ตกต่ำไปเช่นเดียวกับสายปฏิบัติธรรมอื่นๆ
หรือเกจิอาจารย์อื่นๆ
คณะลูกศิษย์ต่างแตกแยกกลุ่มกันออกไป
และสามารถเผยแพร่วิชาธรรมกายไปได้มากกว่าสมัยที่หลวงพ่อวัดปากนำยังมีชีวิต
อยู่เสียอีก
ดังนั้น
ถ้าสามารถโจมตีคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำได้ ก็สามารถเอาชนะสายปฏิบัติธรรมอื่นๆ
ไปได้ด้วยปริยาย
นี่คือคำตอบที่ว่า
ทำไมจะต้องมีการโจมตีคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำด้วย
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า
คำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำสามารถตีความไปได้ว่า “นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา”
เมื่อจะโจมตีกัน ถ้ายกข้อความมาเต็มๆ ก็ไม่สามารถจะโจมตีได้
ดังนั้น
จึงเป็นคำตอบที่ว่า “นิจจัง/สุขัง” จึงหายไป
เหลือแต่เพียง “นิพพานเป็นอัตตา”
และเป็นคำตอบอีกที่ว่า ทำไมจึงเป็นการโจมตีลอยๆ
ไม่มีการอ้างอิงแบบหลักวิชาการ เพราะ ไม่รู้จะหาที่อ้างอิงมาจากไหน
ทำไมคนถึงเชื่อว่า “นิพพานเป็นอัตตา”
ไม่ถูกต้อง
ถ้ามีคนถามว่า
ถ้าจะกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “นิพพานเป็นอัตตา” แค่นี้
แล้วหมายถึงว่า “นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา”
ได้ไหม
คำตอบก็คือ
ถ้าเป็นนักภาษาศาสตร์หรือเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องภาษาค่อนข้างดี
และศึกษาแบบไม่มีอคติแล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่า ความหมายน่าจะไม่แตกต่างกัน
เพราะผู้พูดต้องการที่จะพูดอย่างสั้นๆ
แต่ในปัจจุบันนี้
พุทธวิชาการ/นักปริยัติได้พยายามเผยแพร่องค์ความรู้ที่ไม่ถูกต้องว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” อยู่เป็นประจำ
ประการสำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
คำว่า “อัตตา” ที่ใช้กันอยู่ชีวิตประจำวันนั้น ใช้กันในความหมายว่า “ถือตัวถือตัวตน” หรือ “ยึดมั่น ถือมั่นว่าตนเองว่าดีกว่าคนอื่น”
เป็นต้น
จึงทำให้คนส่วนหนึ่งหลงเชื่อไปว่า ถ้ามีใครสอนว่า “นิพพานเป็นอัตตา” คำสอนดังกล่าวนั้น ไม่ถูกต้อง
|
สรุป
หลวงพ่อวัดปากน้ำไม่เคยสอนว่า
“นิพพานเป็นอัตตา” และไม่เคยว่าสอนว่า
“นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา”
แต่คำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำในหลายๆ แห่งเมื่อนำมารวมกัน
สามารถตีความหมายได้ว่า “นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา”
ความหมายก็คือ
นิพพานมีสภาพที่เที่ยง เป็นสุข และคงที่ ซึ่งถูกต้องตามพระไตรปิฎกเถรวาทแล้ว
ในการโจมตีคำสอน
ของหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า “นิพพานเป็นอัตตา” จึงไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความดังกล่าวแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะไม่รู้จะไปอ้างอิงมาจากไหน
กลุ่มคนที่เชื่อว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนว่า นิพพานเป็นอัตตา
มีทั้งคนที่ไม่รู้จริงๆ
เนื่องจากไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือสายวิชาธรรมกายอย่างจริงจัง
หรืออาจจะเป็นนักวิชาการสาขาอื่น ที่สนใจเรื่องนิพพานด้วย
อีกกลุ่มนั้น
แกล้งไม่รู้ เพราะ
ตกอยู่ใต้อิทธิพลของวิทยาศาสตร์แบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน ที่เชื่อมนุษย์ตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียวเท่านั้น นรก สวรรค์ พรหม อรูปพรหม นิพพาน ไม่มีทั้งสิ้น
พุทธวิชาการ/นักปริยัติกลุ่มนี้จึงชูประเด็นที่ไม่ถูกต้องออกมาว่า
“นิพพานเป็นอนัตตา”
เมื่อมีคำสอนของสายวิชาธรรมกายสามารถตีความไปได้ว่า
“นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา” จึงต้องออกมาโจมตีแบบไม่มีมารยาททางวิชาการคือ ตัดเอาคำว่า “นิจจัง/สุขขัง” ออกไป
ให้เหลือแต่เพียง “นิพพานเป็นอัตตา”
แล้วไปนำความหมายของคำว่า
“อัตตา” ที่ใช้ในการภาษาไทยประจำวัน
ซึ่งมีความหมายในทำนองยึดมั่นถือมั่น นำเข้าไปใส่แทน เพื่อให้ผู้คนเข้าใจคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำผิดไปจากความจริง
กรรมนั้นเกิดจากเจตนา
ผลกรรมของพุทธวิชาการ/นักปริยัติกลุ่มแกล้งไม่รู้นั้น
ผู้เขียนไม่สามารถจะบรรยายได้เลยว่า จะรับทุกข์ทรมานขนาดไหน
เพราะ
โดยเนื้อหาของวิชาธรรมกายนั้น สามารถสอนให้นักเรียน/นักศึกษา “เห็น” ดวงธรรม เห็นกายธรรมในตนเองอย่างแจ่มชัดได้เป็นแสนๆ
คนไปแล้ว ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดี
การสอนให้นักเรียน/นักศึกษา
“เห็น” ดวงธรรม
เห็นกายธรรมในตนได้
ผู้เขียนยังไม่เห็นผลเสียจากการสอนแม้แต่เพียงประการเดียว
ถ้าพูดในแง่ของการสอนตามหลักวิชาการปัจจุบันก็เป็นการสอนให้เด็กมีจินตนาการ
สร้างเป็นภาพได้
การที่นักเรียน/นักศึกษาสามารถคิดเป็นภาพได้นั้น
เป็นการสอนที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพมันสมองของนักเรียน/นักศึกษาได้เป็น อย่างดี
เมื่อพิจารณาตามหลักของพุทธเถรวาทแล้ว
การที่เด็ก “เห็น” พระในท้องก็คือ
เด็กมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ตามพุทธพจน์ที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม”
การเห็นดังกล่าวนั้นเป็นเพียงวิชชาเบื้องต้นเท่านั้น
สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า วิชชาธรรมกายถูกต้องตรงตามพระไตรปิฎกทุกประการ
การโจมตีสิ่งที่ดีที่ถูกต้องว่าเป็นสิ่งไม่ดี
ไม่ถูกต้องโดยเจตนาร้าย ผลของกรรมของก็จะร้ายแรงไปด้วยเป็นเท่าทวีคูณ..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น