บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ทำไมต้องนิพพานเป็นอัตตา


ธรรมชาติของการเรียนรู้ประการหนึ่งที่นักวิชาการปัจจุบันเข้าใจกันดีก็คือ นักวิชาการในยุคใดยุคหนึ่งส่วนใหญ่ จะถูกบริบททางสังคมในช่วงขณะนั้นครอบงำอยู่เสมอๆ 

การที่นักวิชาการคนใดคนหนึ่งจะ แหวกวงล้อมที่ครอบงำอยู่ในยุคนั้นได้ และสามารถทำให้คนส่วนใหญ่หันมาเชื่อตาม

ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาที่นานมากพอควร ในภาษาทางวิชาการเรียกสภาพการณ์นี้ว่า การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (paradigm shift)

ตัวอย่าง

ในยุโรปสมัยหนึ่งเชื่อว่า โลกแบน  เมื่อนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า โลกกลมและพยายามจะเผยแพร่ความรู้นั้นออกไป ก็ถูกผู้นำทางศาสนาคริสต์ในยุคนั้น ฆ่าตายไปหลายคน กว่าคนส่วนใหญ่ในโลกจะเห็นมาเชื่อว่าโลกกลมก็ต้องใช้เวลานาน

หรือในกรณีที่ไอสไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ (relative theory) กว่าที่จะมีคนยอมรับว่าทฤษฎีของเขาถูกต้องก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีทีเดียว

พุทธวิชาการ/นักปริยัติปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ตกอยู่ในภายอิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนของนิ วตัน กาลิเลโอและเดส์คาร์ต 

เมื่อไอสไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ (relative theory) แล้ว นักวิชาการได้กำหนดนับเป็นยุคของฟิสิกส์ใหม่ ซึ่งองค์ความรู้ (body of knowledge) ของฟิสิกส์ใหม่นั้นแตกต่างไปจากองค์ความรู้ (body of knowledge) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนแบบหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนนั้น จะเชื่อว่าอะไรมีจริงหรือเป็นความจริงก็ต้องสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เท่านั้น คือ หู ตา จมูก ลิ้น และกาย

นักวิทยาศาสตร์ของวิทยาศาสตร์แบบเก่าจึงไม่เชื่อเรื่อง นรก-สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด อิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ฯลฯ

พวกนี้จะถือว่าสิ่งเหล่านี้ในพระไตรปิฎกเป็นมายาคติ (myth) หรือความไม่จริงทั้งสิ้น  ซึ่งถ้าอ่านหนังสือ/บทความของกลุ่มพุทธวิชาการ/นักปริยัติจะเห็นร่องรอย อิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนอย่างเห็นได้ชัดเจน

พุทธวิชาการ/นักปริยัติเหล่านี้ อาจจะแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ประกาศตัวออกมาว่า นำเอาวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนมาศึกษาศาสนาพุทธอย่างเปิดเผย

ด้วยคิดว่า วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเป็นความจริงที่สุดแล้ว เป็นความจริงยิ่งกว่าศาสนาพุทธ

ตัวอย่างของพุทธวิชาการ/นักปริยัติกลุ่มนี้ก็เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ หรือคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นต้น

อีกกลุ่มหนึ่ง ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเช่นเดียวกัน แต่ไม่ยอมเปิดเผยว่า ตนเองถูกครอบงำ

แต่มักจะวิพากษ์วิจารณ์ว่า วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไม่จริง ไม่ดีเท่าศาสนาพุทธ แต่ถ้าศึกษาหนังสือ/บทความอย่างจริงจังและจะพบร่องรอยอิทธิพลของวิทยาศาสตร์ เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนครอบงำอยู่อย่างชัดเจน

ข้อเขียนของบุคคลกลุ่มนี้จะมีว่า นรก-สวรรค์ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์  ชอบอธิบายหลักธรรมของศาสนาพุทธที่สำคัญ เช่น ปฏิจจสมุปบาท เรื่องของกรรมเป็นต้น ในลักษณะที่เป็นชาติเดียว

เพราะลึกๆ แล้ว พุทธวิชาการ/นักปริยัติเหล่านี้ เชื่อว่า ตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียวเท่านั้นตามความเชื่อของวิทยาศาสตร์เก่าแบบ กลไก/แยกส่วน/ลดทอน

เมื่อเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียว ดังนั้น สวรรค์ พรหม อรูปพรหม รวมถึงนิพพานก็ต้องไม่มี 

การที่จะเสนอความคิดความเชื่อของตนเองที่ตกอยู่ในอิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่า แบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนว่าสวรรค์ พรหม อรูปพรหม รวมถึงนิพพานไม่มีจริงๆ นั้น  ไม่ต้องไปโจมตีทั้งหมด  แค่โจมตีว่า นิพพานไม่มี ก็สำเร็จแล้ว

การที่จะโน้มน้าว (persuade) ให้ผู้คนหลงเชื่อตาม พุทธวิชาการ/นักปริยัติเหล่านี้ จึงชูประเด็นขึ้นมาว่า นิพพานเป็นอนัตตา

เมื่อชูประเด็นดังกล่าวขึ้นมาแล้ว แต่เมื่อมีพุทธเถรวาทเป็นจำนวนมาก กล่าวคือ พุทธปฏิบัติธรรมทุกสายไม่ว่าจะเป็นสายนะมะพะทะ สายพุทโธ สายยุบหนอพองหนอ และสายวิชชาธรรมกายต่างก็มีความเชื่อว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตาทั้งนั้น

ถ้าไม่มีความเชื่อดังกล่าวแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างบารมีกันไปทำไม

ทำไม จะต้องโจมตีหลวงพ่อวัดปากน้ำและวิชชาธรรมกายด้วย?

ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ในปัจจุบันนี้สายปฏิบัติธรรมนั้น สายวิชาธรรมกายมาแรงสุดๆ  ในขณะที่หลวงพ่อวัดปากน้ำมีชีวิตอยู่นั้น ก็สามารถเผยแพร่วิชาธรรมกายได้อย่างกว้างขวางแล้ว 

แต่เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำมรณภาพไปแล้ว  วิชาธรรมกายกลับไม่ตกต่ำไปเช่นเดียวกับสายปฏิบัติธรรมอื่นๆ หรือเกจิอาจารย์อื่นๆ

คณะลูกศิษย์ต่างแตกแยกกลุ่มกันออกไป และสามารถเผยแพร่วิชาธรรมกายไปได้มากกว่าสมัยที่หลวงพ่อวัดปากนำยังมีชีวิต อยู่เสียอีก 

ดังนั้น ถ้าสามารถโจมตีคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำได้ ก็สามารถเอาชนะสายปฏิบัติธรรมอื่นๆ ไปได้ด้วยปริยาย

นี่คือคำตอบที่ว่า ทำไมจะต้องมีการโจมตีคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำด้วย

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า คำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำสามารถตีความไปได้ว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตาเมื่อจะโจมตีกัน ถ้ายกข้อความมาเต็มๆ ก็ไม่สามารถจะโจมตีได้

ดังนั้น จึงเป็นคำตอบที่ว่า นิจจัง/สุขังจึงหายไป เหลือแต่เพียง นิพพานเป็นอัตตาและเป็นคำตอบอีกที่ว่า ทำไมจึงเป็นการโจมตีลอยๆ ไม่มีการอ้างอิงแบบหลักวิชาการ เพราะ ไม่รู้จะหาที่อ้างอิงมาจากไหน

ทำไมคนถึงเชื่อว่า นิพพานเป็นอัตตาไม่ถูกต้อง

ถ้ามีคนถามว่า ถ้าจะกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า นิพพานเป็นอัตตาแค่นี้ แล้วหมายถึงว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตาได้ไหม

คำตอบก็คือ ถ้าเป็นนักภาษาศาสตร์หรือเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องภาษาค่อนข้างดี และศึกษาแบบไม่มีอคติแล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่า ความหมายน่าจะไม่แตกต่างกัน เพราะผู้พูดต้องการที่จะพูดอย่างสั้นๆ

แต่ในปัจจุบันนี้ พุทธวิชาการ/นักปริยัติได้พยายามเผยแพร่องค์ความรู้ที่ไม่ถูกต้องว่า นิพพานเป็นอนัตตาอยู่เป็นประจำ

ประการสำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คำว่า อัตตาที่ใช้กันอยู่ชีวิตประจำวันนั้น  ใช้กันในความหมายว่า ถือตัวถือตัวตนหรือ ยึดมั่น ถือมั่นว่าตนเองว่าดีกว่าคนอื่นเป็นต้น 

จึงทำให้คนส่วนหนึ่งหลงเชื่อไปว่า ถ้ามีใครสอนว่า นิพพานเป็นอัตตาคำสอนดังกล่าวนั้น ไม่ถูกต้อง

สรุป

หลวงพ่อวัดปากน้ำไม่เคยสอนว่า นิพพานเป็นอัตตาและไม่เคยว่าสอนว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตาแต่คำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำในหลายๆ แห่งเมื่อนำมารวมกัน สามารถตีความหมายได้ว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา

ความหมายก็คือ นิพพานมีสภาพที่เที่ยง เป็นสุข และคงที่ ซึ่งถูกต้องตามพระไตรปิฎกเถรวาทแล้ว

ในการโจมตีคำสอน ของหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า นิพพานเป็นอัตตาจึงไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความดังกล่าวแม้แต่ครั้งเดียว เพราะไม่รู้จะไปอ้างอิงมาจากไหน

กลุ่มคนที่เชื่อว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนว่า นิพพานเป็นอัตตา มีทั้งคนที่ไม่รู้จริงๆ เนื่องจากไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือสายวิชาธรรมกายอย่างจริงจัง หรืออาจจะเป็นนักวิชาการสาขาอื่น ที่สนใจเรื่องนิพพานด้วย

อีกกลุ่มนั้น แกล้งไม่รู้ เพราะ ตกอยู่ใต้อิทธิพลของวิทยาศาสตร์แบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน ที่เชื่อมนุษย์ตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียวเท่านั้น  นรก สวรรค์ พรหม อรูปพรหม นิพพาน ไม่มีทั้งสิ้น

พุทธวิชาการ/นักปริยัติกลุ่มนี้จึงชูประเด็นที่ไม่ถูกต้องออกมาว่า นิพพานเป็นอนัตตา

เมื่อมีคำสอนของสายวิชาธรรมกายสามารถตีความไปได้ว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตาจึงต้องออกมาโจมตีแบบไม่มีมารยาททางวิชาการคือ ตัดเอาคำว่า นิจจัง/สุขขังออกไป ให้เหลือแต่เพียง นิพพานเป็นอัตตา

แล้วไปนำความหมายของคำว่า อัตตาที่ใช้ในการภาษาไทยประจำวัน ซึ่งมีความหมายในทำนองยึดมั่นถือมั่น นำเข้าไปใส่แทน เพื่อให้ผู้คนเข้าใจคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำผิดไปจากความจริง

กรรมนั้นเกิดจากเจตนา ผลกรรมของพุทธวิชาการ/นักปริยัติกลุ่มแกล้งไม่รู้นั้น ผู้เขียนไม่สามารถจะบรรยายได้เลยว่า จะรับทุกข์ทรมานขนาดไหน

เพราะ โดยเนื้อหาของวิชาธรรมกายนั้น สามารถสอนให้นักเรียน/นักศึกษา เห็นดวงธรรม เห็นกายธรรมในตนเองอย่างแจ่มชัดได้เป็นแสนๆ คนไปแล้ว ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดี

การสอนให้นักเรียน/นักศึกษา เห็นดวงธรรม เห็นกายธรรมในตนได้  ผู้เขียนยังไม่เห็นผลเสียจากการสอนแม้แต่เพียงประการเดียว 

ถ้าพูดในแง่ของการสอนตามหลักวิชาการปัจจุบันก็เป็นการสอนให้เด็กมีจินตนาการ สร้างเป็นภาพได้  การที่นักเรียน/นักศึกษาสามารถคิดเป็นภาพได้นั้น เป็นการสอนที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพมันสมองของนักเรียน/นักศึกษาได้เป็น อย่างดี

เมื่อพิจารณาตามหลักของพุทธเถรวาทแล้ว การที่เด็ก เห็นพระในท้องก็คือ เด็กมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ตามพุทธพจน์ที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม

การเห็นดังกล่าวนั้นเป็นเพียงวิชชาเบื้องต้นเท่านั้น สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า วิชชาธรรมกายถูกต้องตรงตามพระไตรปิฎกทุกประการ

การโจมตีสิ่งที่ดีที่ถูกต้องว่าเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ถูกต้องโดยเจตนาร้าย ผลของกรรมของก็จะร้ายแรงไปด้วยเป็นเท่าทวีคูณ..



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น